23 August, 2007

Come Together: America Salutes the Beatles



artist : Various
album: Come Together: America Salutes the Beatles
label : EMI
นี่คืออัลบั้มที่ EMI ต้นสังกัดบ้านเราเคยอิมพอร์ตเข้ามาแต่ทนกระแสเรียกร้องไม่ไหวเลยหยิบมาสนองแฟนๆ ของสี่เต่าทอง The Beatles อีกครั้ง กับงานเพลงที่รวมเหล่าศิลปินในอเมริกกที่ทำขึ้นเพื่อยกย่องวงระดับตำนานอย่าง The Beatles นำเพลงของปู่ๆ มาทำใหม่สไตล์ของใครของมันซึ่งศิลปินที่ยกโขยงมากันก็ออกจะคันทรี่ย์กันทั้งนั้นมาร้องเพลงของ The Beatles เนี่ยนะ แล้วก็เวิร์คซะด้วย ศิลปินที่มีรายนามก็มี Billy Dean, Willie Nelson, John Berry ,และ Randy Travis ใครทีปลื้มเพลงดังอย่าง The Long And Winding Road, Let It Be, Yesterday,Can't By Me Love, All My Loving อัลบั้มนี้ขอบอกว่าแต่ละศิลปินทำกันได้เจ๋ง น่าฟังไปอีกแบบไม่แพ้ต้นฉบับเลยล่ะ
คลิกไปฟังเพลงตัวอย่างทั้งอัลบั้ม

Korn - Untitled Album


artist : Korn
album : Untitle Album
label : EMI
เต็งหนึ่งเจ้าพ่อแห่ง Nu-Metal กลับมาพร้อมอัลบั้มชุด 8 ที่หาได้ตั้งชื่อแต่อย่างใดให้แปลกใจกันเล่นๆ หลังส่งอัลบั้ม MTV Unplugg ออกมาต้นปีให้แฟนๆ ของพี่ทั่นเกินอาการอยากเสพย์งานใหม่ของป๋า Jonathan David สัญลักษณ์แห่งวงใจจะขาดรอนๆ โดยป๋าเล่าถึงการตั้งชื่อเก๋ๆ งงๆ ของอัลบั้มนี้ไว้ว่า "เราไม่อยากจำกัดความคิดของพวกเราเอง ก็ถ้าแฟนๆ อยากให้มันมีชื่อนัก ก็คิดขึ้นเอาเองสิเพื่อน แต่พวกเราก็จะทำเพลงสนองความต้องการของตัวเองไปเรื่อยๆ" ว่างั้น ชุดนี้ได้ปรดิวเซอร์ Atticus Ross ผู้เคยฝากฝีมือไว้ในชุดก่อนอย่าง Korn See You On The Other Side กับซาวนด์ที่ยังดูแปลกทันสมัยไม่ทิ้งความสะใจแถมใส่เสียงซินท์และเครื่องดนตรีอย่างเปียโนเข้ามาในหลายๆ แทร็คมาให้แฟนๆ ของพี่ทั่นได้เซอร์ไพรส์อีกต่างหาก

Yellowcard - Paper Walls


artist: Yellowcard
album: Paper Walls
label : EMI
ได้ฤกษ์ออกงานมาอีกชุดแล้วสำหรับวงร็อคมาแรงจากฝั่งอเมริกาที่ได้แฟนเพลงไปอื้อทั้งจาก Ocean Avenue และ Lights And Sounds ด้วยยอดขายกว่า 2 ล้านแผ่นทั่วโลก ถ้ายังไม่คุ้นก็นึกถึงวงที่นักร้องนำหน้าหยั่งกับเจ้ามัลฟอลคู่ปรับแฮร์รี่นั่นแหละ ชุดนี้เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ล Light Up The Sky มีแทร็คชื่อเดียวกับอัลบั้มที่ได้รับคำชมมาอื้อ อัลบั้มนี้ 5 หนุ่ม ทำเพลงกันเองเกือบทุกขั้นตอนการผลิต โดยยังคงใช้บริการของโปรดิวเซอร์เจ้าเก่าตั้งแต่งานชุดแรกอย่าง Neal Avron ที่มากันแบบพั้งก์ร็อคและกีตาร์ฮุคที่โดนใจชาว YC ไม่แพ้งานชุดก่อนๆ ที่สร้างเครดิตให้ Yellowcard จากวงอินดี้สู่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ด้วยฝีมือเน็ตๆ จริงๆ

22 August, 2007

The Simpsons Movie [SOUNDTRACK]



artist : Hans Zimmer

album : Ost.The Simpsons Movie

label : Warner

เห็นปกแล้วแทบจะพุ่งตัวออกจากบ้านไปหาโดนัทมางาบสักครึ่งโหล นี่คืออัลบั้มซาวด์แทร็คของ The Simpsons Movie จากซีรี่ส์การ์ตูนสุดฮิตที่ถูกจับนำมาโลดแล่นขึ้นจอ หลังจากที่ริเริ่มโปรเจคท์มาตั้งแต่ปี 2001 และประสบปัญหามากมายทั้งไม่มีคนทำงาน และบทที่ยาวเกินไป แต่ในที่สุดก็สำเร็จออกมาเป็นภาพยนตร์ ที่แสบสันต์เห็นตัวอย่างแล้วบ้าสุดๆ อย่าบอกใครตามสไตล์ครอบครัวตัวเหลือง แต่ผิดคาดสำหรับซาวนด์แทร็คที่เป็นแค่เพลงบรรเลงประพันธ์โดยสุดยอดนักแต่งเพลงระดับออสการ์ที่คอหนังคุ้นชื่อกันดีอย่างปู่ Hans Zimmer ซะงั้น มีเพลงตัวอย่างมาให้ฟังด้วย

"คลิกฟังเพลงแซมเปิ่ลโลด"

Harry Potter And The Order Of The Phoenix.OST.


artist : score by London Chamber Orchestra
label : Warner
ออกมาให้ตามเก็บกันอีกแล้ว สำหรับแฟนพันธ์แท้พ่อมดน้อยแฮหรี เป็นธรรมดาที่อ่านหนังสือป้า JK. ก็ต้องตามดูหนังแต่ละภาค คอยด่าผู้กำกับแต่ละตอนว่าจะได้ตัวใครมายำหนังแต่ละภาคให้สั้นกระชับ ได้ใจแฟนพ่อมดน้อยที่เอาใจยากส์ซะเหลือเกินก็ว่ากันไป
ล่าสุดก็เดินทางมาถึงภาค 5 Harry Potter And The Order Of The Phoenix ที่ยังคงความเป็นสกอร์ครบครันหาได้มีเพลงตัดเพลงเอกจากหนังไม่ ได้ London Chamber Orchestra มาบรรเลง ณ Abbey Road Studio กรุงลอนดอน ภายใต้การประพันธ์เพลงของท่าน Nicolas Hooper โดยอารมณ์เพลงจะมีความหม่นหมองมากขึ้นกว่าอัลบั้มซาวด์แทร็คชุดก่อนๆ สืบเนื่องจากความน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมของบรรยากาศในหนัง มีการใช้เครื่องดนตรีใหม่ๆอย่างกลองญี่ปุ่นไทโกะเพื่อเพิ่มความหนักหน่วงของเสียงเพอร์คัสชั่น ใครที่ตามเก็บมาทุกภาค ก็ซื้อไปเก็บตามระเบียบ (ส่วนตัวมีทุกชุด แต่ไม่เคยหยิบมาฟังเลยแฮะ)

04 August, 2007

Prodigy - Return Of The Mac


artist : Prodigy
album : Return Of The Mac
label : Platinum
จากการเป็นครึ่งหนึ่งของ Mobb Depp ฮิพฮ็อพสุดร้อนแรงเจ้าของสมญา Prodigy มีงานเพลงคลาสสิกออกมาแล้วมากมาย ตอนนี้เขาก็พร้อมแล้วกับอัลบั้มชุดที่สอง Return of the Mac ที่โปรดิวซ์โดย The Alchemist ซึ่งอัลบัมนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมานานก่อนที่จะออกวางตลาด และได้รับการวิจารณ์โดยนิตยสารฮิพฮ็อพชั้นนำ The Source ที่ให้ถึง4 ดาวเลยทีเดียว
Prodigy นั้นเกิดที่นิวยอร์กและเขาก็ทำงานในสไตล์ฮิป-ฮอปนิวยอร์ก/อีสต์โคสต์ขนานแท้ อันที่จริง เขากำลังมุ่งมั่นกับการทำอัลบั้มชุดที่สอง H.N.I.C. 2 รวมถึงภาพยนตร์อินดี้ที่ตัวเองเป็น executive producer อีกด้วย แต่เนื่องจากเสียงเรียกร้องของแฟนเพลง เขาจึงทำมิกซ์เทปขึ้นมา ซึ่งรวบรวมผลงานเพลงใหม่ๆ เอาไว้ โดยใช้ชื่อชุดว่า Return of the Mac ซึ่งเป็นเหมือนการเรียกน้ำย่อยแฟนๆ ก่อนที่อัลบั้ม 2 จะออกมาแบบเต็มตัว

Prodigy นั้นอยู่ในวง Mobb Depp ร่วมกับ Havoc แต่เมื่อผันมาทำงานเดี่ยว ก็พยายามฉีกไปจากเงาของ Havoc และก็ทำได้สำเร็จด้วยการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่าง The Alchemist จนได้งานที่เต็มไปด้วยสีสัน โดดเด่นด้วยเนื้อเพลงที่ลื่นไหลและคงความเป็น urban เอาไว้ได้อย่างชัดเจน ทำให้ Return of the Mac เป็นงานฮิพฮ็อพชั้นเยี่ยมที่คอเพลงแนวนี้ไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด
...ข้อมูลจากPlatinum Thailand
"คลิกไปฟังเพลงตัวอย่างทั้งอัลบั้ม"

The National - Boxer


artist : The National
album :Boxer
label : Platinum
นิวยอร์คตอกย้ำการเป็นแหล่งผลิตนักดนตรีที่ดีที่สุดอีกครั้ง เมื่อ The National จากบรู8ลินถือกำเนิดพร้อมอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงในปี 2001 ก่อนจะมีผลงานชุดที่ 2 Sad Songs for Dirty Lovers และอีพี Cherry Tree การเริ่มต้นเส้นทางดนตรีของพวกเขาเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งพบว่า การออกงานภายใต้สังกัดตัวเองเกินรับมือไหว ว่าแล้วห้าสมาชิกของวง นำโดยแม็ต เบอร์นินเกอร์ ผู้ที่เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงยอดฝีมือ จึงชักชวนกันลาออกจากหน้าที่การงานที่มั่นคงและรายได้งาม เดินหน้าเซ็นสัญญากับค่ายมืออาชีพอย่าง Beggars Banquet
อัลบั้มชุดแรกของพวกเขาภายใต้สังกัดนี้ คือ The Alligator ในปี 2005 กลายเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมแห่งปีจากหลายสื่อมวลชน ทั้ง LA Times, Insound, Uncut และ Planet Sound
ดนตรีของ The National คืองานที่มีเมโลดี้ของป็อป อ่อนโยน และหอมหวาน หากอาศัยลูกเล่นและเครื่องดนตรีแบบร็อคมาผสาน นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกนำไปเปรียบกับวงตั้งแต่ U2, Afgan Wigs ไปจน Wilco และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝีมือการเขียนเพลงและเสียงร้องทุ้มละมุนของแม็ต ที่มีผู้คนนำไปเทียบเคียงกับบรมครู เลนนาร์ด โคเฮน และสจวร์ต สเตเปิลส์ อยู่เสมอ
ในอัลบั้มใหม่ล่าสุด The Boxer ซึ่งโปรดิวซ์โดย ปีเตอร์ เคติส โปรดิวเซอร์มือทองของ Interpol มีการให้น้ำหนักกับเสียงเครื่องสายมากขึ้น จนดนตรีที่ออกมาอ่อนไหวและสวยงามอย่างเด่นชัด ฝ่ายร็อคกลายเป็นตัวเสริมที่ทอดสะพานให้โน้ตไหลลื่น เมื่อประกอบเข้ากับเสียงและเนื้อหาของเพลงที่ให้ข้อคิดและมีความสละสลวยในการเรียงร้อยเป็นอย่างดีแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะคารวะในการคิดสร้างสรรค์อันบรรเจิดของพวกเขา แม้จะฟังอัลบั้มไปเพียงไม่เท่าไร และไม่น่าแปลกใจที่อัลบั้มนี้จะกลายเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขาที่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด แถมยังติดอันดับ 68 เลยเสียด้วย
The National ได้แก่ แม็ต เบอร์นินเกอร์ (Matt Berninger/ร้องนำ) แอรอน เดสเนอร์ (Aaron Dessner/เบส, กีตาร์) ไบรซ์ เดสเนอร์ (Bryce Dessner/กีตาร์) ไบรอัน ดาเวนดอร์ฟ (Bryan Davendorf/กลอง) และสกอต ดาเวนดอร์ฟ (Scott Savendorf/กีตาร์, เบส)
...ข้อมูลจากPlatinum Thailand

To My Boy - Messages



artist : To My Boy
album : Messages
label : Platinum
จากอดีตวงสี่ชิ้นประจำเมืองลิเวอร์พูลและเชฟฟิลด์ กลายเป็นวงดูโอคู่ใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดของเกาะอังกฤษ ด้วยจังหวะจะโคนทางดนตรีที่เร้าใจ โดดเด่นด้วยการผสมผสานดนตรีร็อค แด๊นซ์ อิเลคทรอนิก และอินดี้เข้าด้วยกัน หากยังมีรากเหง้าของนิวเวฟเจืออยู่เป็นพื้นฐาน โดยมีกีตาร์ ซินธิไซเซอร์ ดรัมแมชชีน และเสียงร้องใจป่วนกวนโอ๊ย เป็นอุปกรณ์หลักสร้างเอกลักษณ์ในงานของตัวเอง ทั้งซิงเกิ้ลเปิดตัวอย่าง The Grid และ I Am X-Ray ทั้งยังได้ขึ้นเวทีร่วมกับอย่าง Interpol ในการขึ้นโชว์ที่ลอนดอนเพียงรอบเดียวของวงรุ่นพี่แถวหน้าวงนี้ด้วย
ใน Messages อัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกเขา To My Boy คู่หูได้โปรดิวเซอร์ฝีมือดีอย่างเจมส์ ฟอร์ด และ Clor มาร่วมทำงานให้ โดยเน้นไปที่การสร้างสรรค์บีทและพลังทางดนตรีอันเหลือเฟือ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงแต่ได้ยินชัดเจนจากตัวอัลบั้ม สองหนุ่มยังขนความสามารถของพวกเขาขึ้นเวทีแสดงสดอย่างสนุกสนานและเปรี้ยวจี๊ดจนคว้าใจผู้ชมมาทั่วเกาะอังกฤษ เพิ่มฐานแฟนเพลงของตัวเอง มาจนปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่า To My Boy เป็นวงในกระแสที่ห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด
...ข้อมูลจากPlatinum Thailand
To My Boy ได้แก่ แซม ไวท์ (Sam White) และแจ็ค สเนป (Jack Snape)
คลิกไปรู้จักพวกเค้าที่ myspace-tomyboy

Ocean Colour Scene - On The Leyline


artist : Ocean Colour Scene
album : On The Leyline
label : Platinum
วงระดับตำนานจากเกาะอังกฤษที่อยู่ในวงการอินดี้มาอย่างยาวนานกว่าสิบห้าปี Ocean Colour Scene เจ้าของซิงเกิ้ลระดับท็อป 20 มากถึง 11 เพลง และแม้ว่ามือเบสของวง แดมอน มิเชลลา จะลาออกจากวงไปในระหว่างการทัวร์ช่วงปี 2003 แต่สมาชิกดั้งเดิมอีกสามคน ไซมอน ฟาวเลอร์ (ร้องนำ/กีตาร์), สตีฟ แครด็อก (กีตาร์/ร้อง) และออสการ์ แฮร์ริสัน (กลอง) ก็กลับมาพร้อมกับสองสมาชิกใหม่ แดน ซีลีย์ (เบส) และแอนดี เบนเนตต์ (กีตาร์) และพวกเขากลับสู่ฟอร์มในอัลบั้มล่าสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนๆ รอคอยอยู่ โดยเชื่อว่า On the Leyline เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของพวกเขา นับตั้งแต่อัลบั้ม Moseley Shoals ที่สร้างชื่อให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก
On the Leyline เป็นอัลบัมร็อคแอนด์โรลที่ผสมผสานความเป็นบริติชป๊อปและโฟล์กเข้ามาได้อย่างพอเหมาะ ตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรก I Told You So ที่ติดหูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง ไม่ทิ้งสไตล์การทำงานดนตรีเชิงทดลองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งอัลบัมนี้ทำการบันทึกเสียงที่บ้านของไซมอนใน Stratford-Upon-Avon ภายในเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น ด้ออกมาเป็นงานเพลงที่เรียบง่าย ลงตัว และแสดงถึงตัวตนของ Ocean Colour Scene ได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจาก I Told You So เพลงป๊อปแสนน่ารักที่เป็นซิงเกิ้ลแรกแล้ว ยังมีงานดนตรีดีๆ น่าฟังอยู่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นไตเติ้ลแทร็กที่เป็นร็อคสนุกๆ, Two Lovers ที่ได้อิทธิพลมาจาก The Everly Brothers หรืออย่าง Go to Sea ที่เป็นเพลงต่อต้านสงครามที่โดดเด่นด้วยเนื้อหาอันคมคาย
On the Leyline ถือเป็นอัลบั้มที่เป็นการกลับสู่ยุครุ่งเรืองของ Ocean Colour Scene อย่างแท้จริง แฟนๆ ของพวกเขาไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนกับงานชั้นเยี่ยมชุดนี้
...ข้อมูลจากPlatinum Thailand
คลิกไปฟังเพลงตัวอย่างที่ myspace

Marc Almond - Stardom Road


artist : Marc Almond
album : Stardom Road
label : Platinum
มาร์ก อัลมอนด์ ศิลปินชื่อก้องที่ทุกคนรู้จักดีจากงานในยุค’80s ที่แสนโด่งดังในนามของ Soft Cell ต้นตำรับดนตรีแนวเทคโนที่ทำให้เกิดกระแสดนตรีแนวนี้ขึ้นมา และมีอิทธิพลต่อวงดนตรีรุ่นหลังมากมาย ตั้งแต่ Pulp, Pet Shop Boys ไปจนถึง Suede และ Goldfrapp มาร์ก อัลมอนด์ กลายเป็นตำนานไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแวดวงดนตรีฝั่งอังกฤษ เขายังคงออกงานมาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
......
Stardom Road เป็นผลงานล่าสุดที่เป็นการนำเอาบทเพลงที่มีอิทธิพลต่อเจ้าตัวอย่างมากมาทำขึ้นใหม่ แต่ก็ยังคงมีเพลงใหม่ที่แต่งเองบรรจุอยู่ในชุดนี้ด้วย ได้แก่ Redeem Me (Beauty Will Redeem the World) อัลบัมนี้ยังมีความสำคัญมากตรงที่เป็นงานชุดแรกหลังจากที่มาร์กประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์จนเกือบเสียชีวิตในปี 2004 เพลงที่ถูกรวบรวมไว้และยังมีความหลากหลายทั้งจากยุค’50s, ’60s, ’70s และ ’80s โดยนำมาเรียบเรียงให้กลายเป็นป๊อปที่งดงาม ไพเราะ และใช้วงออร์เคสตราขนาดใหญ่เข้ามารองรับ จนกลายเป็นงานที่อลังการและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง
........
อัลมอนด์ยังได้เพื่อนศิลปินมาร่วมงานอาทิ แซราห์ แครกเนล จาก St. Etienne ที่มาร่วมร้องในเพลง I Close My Eyes & Count to Ten, จูลส์ ฮอลแลนด์ และแอนโทนี เฮการ์ตี แห่ง Antony and the Johnsons .....
งานเพลงชุดนี้นำเสนออีกด้านหนึ่งของมาร์ก อัลมอนด์ ที่เราไม่เคยเห็นกันมาก่อน ด้านที่เป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น และเป็นการกลับคืนสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา
...ข้อมูลจากPlatinum Thailand
คลิกไปฟังเพลงที่ My Space